โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่พบได้มากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งปัญหาที่อันตรายที่สุดของโรคนี้ไม่ใช่ “โรคเบาหวาน” เพียงอย่างเดียว แต่คือ “ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง (Hyperglycemia)” ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง การปล่อยให้ระดับน้ำตาลสูงเกินเกณฑ์เป็นเวลานานอาจส่งผลเสียรุนแรงต่อร่างกายในหลายระบบ ตั้งแต่ตา ไต หัวใจ ระบบประสาท ไปจนถึงหลอดเลือดทั่วร่างกาย
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอันตรายอย่างไร? และทำไมเราต้องรีบรักษาก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอ หรือใช้อินซูลินได้ไม่ดี ส่งผลให้น้ำตาลจากอาหารเข้าสู่เซลล์ได้ไม่เต็มที่ ทำให้ระดับน้ำตาลสะสมในกระแสเลือดจนสูงกว่าปกติ
• น้ำตาลตอนเช้า (FBS) : ควรต่ำกว่า 100 mg/dL
• หลังอาหาร 2 ชั่วโมง : ควรต่ำกว่า 140 mg/dL
• ค่าเฉลี่ย 3 เดือน (HbA1c) : ควรต่ำกว่า 6.5%
หากค่าเหล่านี้สูงกว่ามาตรฐานต่อเนื่อง อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ทำให้สุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว
การปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงแบบเรื้อรัง จะทำลายเส้นเลือดเล็กและใหญ่ทั่วร่างกาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ลดลง ความเสียหายสะสมเหล่านี้อาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่เมื่อเกิดอาการขึ้นมามักเป็นระยะที่รุนแรงแล้ว นี่คือผลเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่รีบรักษา:
1. ตาบอดจากเบาหวานขึ้นตา
ระดับน้ำตาลที่สูงจะทำลายหลอดเลือดเล็กในจอตา ทำให้เกิดเลือดออกหรือเส้นเลือดผิดปกติ หากปล่อยไว้อาจถึงขั้นตาบอดถาวร
2. ไตเสื่อมจนต้องล้างไต
ไตคืออวัยวะที่ต้องกรองเลือดตลอดเวลา เมื่อเลือดมีน้ำตาลสูงเกินไป ไตต้องทำงานหนักและถูกทำลายทีละน้อย จนเกิดภาวะไตวายเรื้อรังและต้องฟอกไตในที่สุด
3. หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย
เบาหวานเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า หลอดเลือดหัวใจที่ตีบอาจทำให้เจ็บหน้าอก หรือเกิดหัวใจวายเฉียบพลันถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. ชาปลายมือปลายเท้า และแผลเรื้อรัง
ระบบประสาทถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการชาหรือแสบร้อน ยิ่งไปกว่านั้นแผลที่เท้าหายยากมาก หากติดเชื้อรุนแรงอาจต้องตัดขา
5. ภาวะน้ำตาลสูงเฉียบพลัน (Hyperglycemic Crisis)
อาการที่อาจเกิดขึ้นทันที เช่น อ่อนเพลีย ซึม หายใจลำบาก หรือหมดสติ ถือเป็นภาวะอันตรายต้องรักษาด่วน
แม้หลายคนจะไม่มีอาการ แต่หากเริ่มรู้สึกดังต่อไปนี้ควรตรวจน้ำตาลทันที
• กระหายน้ำบ่อย ดื่มน้ำเยอะแต่ยังไม่หาย
• ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
• น้ำหนักลดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
• เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
• แผลหายช้า
• ตามัวเป็นบางครั้ง
ยิ่งรู้ไว ยิ่งรักษาได้ทัน ป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
การควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่อย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
1. ควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม
• ลดน้ำตาล ขนมหวาน เครื่องดื่มหวาน
• จำกัดคาร์โบไฮเดรต และเลือกชนิดที่ดูดซึมช้า เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช
• เพิ่มผักและโปรตีนไม่ติดมัน
• รับประทานให้ตรงเวลา ไม่ข้ามมื้อ
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ช่วยให้เซลล์ใช้น้ำตาลได้ดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลและเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจ แนะนำ:
• เดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน
• ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
• ฝึกแรงต้าน 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
ยาเบาหวานช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่ ป้องกันไม่ให้สูงขึ้นจนเกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้อินซูลินเพื่อควบคุมให้ได้ตามเป้าหมาย
• ตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือน
• ตรวจตาปีละครั้ง
• ตรวจการทำงานของไต
• ตรวจไขมันและความดัน ซึ่งมักสูงร่วมกับเบาหวาน
การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้แพทย์ปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม ทำให้ควบคุมโรคได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
• คนอายุ 35 ปีขึ้นไป
• อ้วนลงพุง หรือ BMI ≥ 25
• มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน
• ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง
• ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
• ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ไม่ออกกำลังกาย กินหวานจัด ดื่มน้ำอัดลมบ่อย
การตรวจเร็ว จะทำให้รักษาเร็ว ลดโอกาสเกิดโรคร้ายแรงในอนาคต
หลายคนคิดว่า “เบาหวานรักษาไม่หาย” จึงละเลยการรักษา แต่ความจริงแล้วเบาหวานสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับปกติได้ และใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป หากดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ การรีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณ:
• ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
• ป้องกันโรคไตวาย
• ลดโอกาสตาบอดจากเบาหวาน
• ลดโอกาสเกิดแผลเบาหวานจนต้องผ่าตัด
• ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ความเสียหายเกิดขึ้นทุกวัน หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก การตรวจเช็คสม่ำเสมอและรีบรักษาตั้งแต่เริ่มมีค่าเบี่ยงเบนจากมาตรฐาน คือวิธีปกป้องสุขภาพที่ดีที่สุด