ทำไมต้องรีบรักษา โรคหัวใจขาดเลือด ภายในเวลา 90 นาที

       หัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลาโดยไม่เคยหยุดพัก หน้าที่สำคัญของหัวใจคือสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน “หัวใจเอง” ก็ต้องได้รับเลือดเลี้ยงเช่นกัน โดยมี “หลอดเลือดหัวใจ (Coronary Arteries)” เป็นเส้นทางหลักในการส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหลอดเลือดหัวใจเกิด “การตีบหรืออุดตัน” ขึ้นมาเฉียบพลัน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ภาวะนี้เรียกว่า “กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” (Acute Myocardial Infarction) หรือที่หลายคนคุ้นในชื่อ “หัวใจวายเฉียบพลัน” ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคนี้คือ “เวลา” เพราะทุกนาทีที่ผ่านไป กล้ามเนื้อหัวใจจะค่อย ๆ ตายลงอย่างถาวร และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก

นั่นคือที่มาของแนวคิดที่ว่า

⏱ Time is muscle – เวลาทุกนาทีคือกล้ามเนื้อหัวใจที่กำลังสูญเสียไป



หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

       สาเหตุหลักของโรคนี้คือ หลอดเลือดหัวใจตีบจากไขมันสะสม (Atherosclerosis) ภายในผนังหลอดเลือด เมื่อคราบไขมันหรือพลัค (Plaque) แตกออก จะกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือด (Thrombus) มาปิดกั้นทางเดินเลือดในหลอดเลือดหัวใจทันที เมื่อเลือดไม่สามารถไหลผ่านได้ กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นจะขาดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาภายใน “ช่วงเวลาทอง” กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ขาดเลือดจะเริ่มตาย และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นหรือเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น


อาการที่บ่งบอกว่า "หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน"

       สัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมักเกิดขึ้น แบบเฉียบพลัน และมีลักษณะอาการที่ต้องระวัง เช่น

       1. เจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับตรงกลางหน้าอก หรือรู้สึกแน่นอึดอัด คล้ายมีของหนักวางทับ อาจปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนซ้าย คอ กราม หรือหลัง

       2. เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม โดยเฉพาะในขณะพักหรือทำกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ

       3. เหงื่อแตกมาก หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน อาการเหล่านี้มักเกิดร่วมกับการเจ็บแน่นหน้าอก

       4. ในบางราย โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้สูงอายุ อาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอกชัดเจน แต่อาจแสดงออกเพียงอาการ “อ่อนเพลียเฉียบพลัน” หรือ “เหนื่อยผิดปกติ” ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นอาการอื่น

       หากพบอาการเหล่านี้ อย่ารอเกิน 5 นาที ควรรีบไปโรงพยาบาลที่มีศูนย์หัวใจพร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางทันที เพราะทุกวินาทีที่ช้า คือความเสียหายที่เพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อหัวใจ


ทำไม "90 นาที" จึงเป็นเวลาสำคัญ ?

       การรักษาผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน มีเป้าหมายหลักคือ “เปิดหลอดเลือดหัวใจให้เร็วที่สุด” เพื่อให้เลือดกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้อีกครั้ง

       ตามมาตรฐานสากลของ American Heart Association (AHA) และ European Society of Cardiology (ESC) ได้กำหนดแนวทางที่เรียกว่า “Door-to-Balloon Time” หมายถึง เวลาตั้งแต่ผู้ป่วย “มาถึงโรงพยาบาล” จนถึง “การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนสำเร็จ” เวลามาตรฐานที่ปลอดภัยสูงสุดคือ ไม่เกิน 90 นาที การรักษาภายในเวลานี้จะช่วยให้

       • กล้ามเนื้อหัวใจยังคงทำงานได้ดี

       • ลดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ

       • เพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้มากกว่า 95%

       แต่หากช้าเกินกว่า 90 นาที ความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก


เข้าใจแนวคิด Time is Muscle

       เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองเปรียบเทียบหัวใจเหมือนเครื่องยนต์ของรถยนต์ หากเครื่องยนต์ไม่ได้รับน้ำมัน (ในที่นี้คือ “เลือด”) เครื่องจะเริ่มสะดุดและดับลงในที่สุด เมื่อหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นจะเริ่มขาดเลือดตั้งแต่นาทีแรก

       • ภายใน 20 นาทีแรก กล้ามเนื้อหัวใจเริ่มอ่อนแรง

       • ภายใน 60 นาที เซลล์หัวใจบางส่วนเริ่มตาย

       • ภายใน 90 นาที กล้ามเนื้อหัวใจจำนวนมากไม่สามารถฟื้นกลับมาได้

       • หลัง 3 ชั่วโมงขึ้นไป การเสียหายจะลุกลามจนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

       ดังนั้น การเปิดหลอดเลือดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือหนทางเดียวที่จะ “ช่วยชีวิตหัวใจไว้ได้”


แนวทางการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

       1. การให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytic Therapy) เป็นวิธีที่ใช้ยาฉีดละลายลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดหัวใจ เหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่ยังไม่มีห้องสวนหัวใจ (Cath Lab) และใช้ในช่วงเวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ อย่างไรก็ตาม การรักษานี้มีข้อจำกัด เช่น อาจเกิดเลือดออกในสมอง และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน

       2. การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Primary PCI) เป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยแพทย์จะใช้สายสวน (Catheter) ผ่านทางหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือ ไปยังตำแหน่งที่อุดตัน แล้วใส่บอลลูนเพื่อขยายหลอดเลือด และอาจใส่ขดลวด (Stent) เพื่อป้องกันการตีบซ้ำ

       การทำบอลลูนหัวใจ (PCI) ภายใน 90 นาทีหลังถึงโรงพยาบาล ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน และเป็นแนวทางที่โรงพยาบาลที่มี ศูนย์หัวใจ (Cath Lab) ทั่วโลกใช้เป็นมาตรฐาน


ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด วัฒนแพทย์ อ่าวนาง

       โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ อ่าวนาง มีความพร้อมด้านการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ด้วยศูนย์หัวใจและหลอดเลือดมาตรฐาน (Cath Lab) ที่มีทีมแพทย์โรคหัวใจเฉพาะทางและพยาบาลผู้เชี่ยวชาญดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

       • ระบบ Fast Track Heart เริ่มต้นกระบวนการรักษาทันทีตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึง โดยไม่ต้องรอคิวนาน

       • ทีมแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ (Cardiologist) ประสบการณ์สูงด้านการสวนหัวใจและขยายหลอดเลือด

       • เครื่องมือทันสมัยระดับสากล เช่น เครื่องเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจความละเอียดสูง (Digital Subtraction Angiography: DSA)

       • ห้อง CCU มาตรฐานสูง สำหรับดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

       ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจว่า…ผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะได้รับการรักษาภายใน เวลามาตรฐาน 90 นาที ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ และกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง


อย่ารอให้หัวใจหยุดก่อนถึงมือหมอ

      หลายคนมักเข้าใจผิด คิดว่าอาการแน่นหน้าอก เดี๋ยวพักก็หาย หรือกินยาแก้กรดไหลย้อนแล้วจะดีขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่อันตรายมาก เพราะอาการของโรคหัวใจขาดเลือดอาจคล้ายกับอาการอื่น เช่น กรดไหลย้อน หรือกล้ามเนื้ออักเสบ แต่ความต่างคือ ภาวะหัวใจขาดเลือดไม่สามารถรอได้ เพราะทุกนาทีคือความเสียหายที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวร

     ดังนั้น หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกแบบผิดปกติ แม้เพียงครั้งเดียว ควรรีบตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางหัวใจทันที เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้หัวใจของคุณยังเต้นอย่างแข็งแรงต่อไป


การตรวจวินิจฉัยภาวะหัวใจขาดเลือด

       เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์จะรีบดำเนินการตรวจอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ได้แก่

       1. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) – ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที สามารถบ่งชี้ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ทันที

       2. ตรวจเอนไซม์หัวใจในเลือด (Cardiac Enzymes) – เช่น Troponin ซึ่งจะสูงขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย

       3. เอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) – เพื่อประเมินภาวะหัวใจโตหรือมีน้ำในปอด

       4. การสวนหัวใจ (Coronary Angiography) – เพื่อดูตำแหน่งของการอุดตัน และใช้เป็นแนวทางในการทำบอลลูนหัวใจ

       การวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำ จะช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจรักษาได้ภายใน “เวลาทอง”


การดูแลหัวใจหลังผ่านภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

       หลังจากรักษาและเปิดหลอดเลือดสำเร็จแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพหัวใจอย่างต่อเนื่อง เช่น

      • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

      • ควบคุมความดันโลหิต ไขมัน และน้ำตาลในเลือด

      • งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์

      • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดไขมันอิ่มตัว

      • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำแพทย์

      • มาพบแพทย์ติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ

       การดูแลหลังการรักษามีความสำคัญไม่แพ้ช่วงเวลาฉุกเฉิน เพราะจะช่วยลดโอกาสเกิดหลอดเลือดตีบซ้ำ และทำให้คุณภาพชีวิตกลับมาดีขึ้นอย่างยั่งยืน


90 นาที คือเส้นแบ่งระหว่าง "หัวใจที่รอด" กับ "หัวใจที่สูญเสีย"

       โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเป็นภาวะที่ต้องแข่งกับเวลา ทุกนาทีมีค่า ทุกวินาทีคือชีวิต

      • หากรักษาภายใน 90 นาทีแรก โอกาสรอดชีวิตสูงกว่า 95%

      • หากช้าเกิน 3 ชั่วโมง กล้ามเนื้อหัวใจส่วนใหญ่จะถูกทำลายถาวร

      • หากไม่ถึงมือแพทย์ อาจเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่นาที

       ดังนั้น การรู้เท่าทันอาการ การเข้าถึงโรงพยาบาลที่มีศูนย์หัวใจพร้อมทีมแพทย์เฉพาะทาง เช่น โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ อ่าวนาง คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วย “รักษาหัวใจ” ให้เต้นต่อไปได้อย่างปลอดภัย