ต่อมทอนซิลอักเสบ แท้จริงแล้วคืออะไร ?
ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ กลืนลำบาก แต่ด้วยอาการของทอนซิลอักเสบจะคล้ายไข้หวัด ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าแค่ซื้อยามากินเองก็คงหาย แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าทอนซิลอักเสบ สามารถพัฒนาเป็นโรคที่ร้ายแรงได้ แล้วต่อมทอนซิลอักเสบแท้จริงแล้วคืออะไร
ต่อมทอนซิล เป็นต่อมน้ำเหลือง 2 ต่อม ข้างซ้ายและขวาในลำคอ ที่อยู่ด้านข้างกับโคนลิ้น มีหน้าที่ในการจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นที่เก็บกักเชื้อโรค ส่งผลให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรังหรือต่อมทอนซิลโต/อักเสบได้
ทอนซิลอักเสบคืออะไร
“ทอนซิลอักเสบ” (Tonsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิล โดยจะแบ่งเป็นชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง พบมากในเด็กอายุก่อน 10 ปี โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส รองลงมาเป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่พบได้บ่อยคือ สเตร็ปโตคอคคัสกรุ๊ปเอ (Group A Streptococcus) โรคทอนซิลอักเสบในเด็กก่อนวัยเรียนมักเกิดจากเชื้อไวรัส และสามารถติดต่อกันได้ง่าย ส่วนโรคทอนซิลอักเสบ ในเด็กโตและผู้ใหญ่มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุการเกิดต่อมทอนซิลอักเสบ
- การสัมผัสกับเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย แล้วเผลอกลืนหรือกินเข้าไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของทอนซิลอักเสบในเด็กวัยเรียน
- การเป็นโรคอื่นๆ มาก่อน แล้วเกิดการป่วยซ้ำซ้อนกลายเป็นทอลซิลอักเสบ โดยมักจะเป็นไข้รูมาติก หรือ โรคไตอักเสบเฉียบพลันรุนแรง
- การที่พักผ่อนไม่เพียงพอทำให้เชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่โดยปกติแล้วไม่สามารถทำอันตรายใดๆ กับร่างกาย เกิดแข็งแรงขึ้นจนนำไปสู่การเกิดทอนซิลอักเสบได้
- การไม่รักษาความสะอาดของช่องปาก ทำให้เกิดการสะสมของจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่มากภายในช่องปาก โดยจะเกิดการรวมกับอาหารหรือเครื่องดื่มไหลลงสู่คอ จากนั้นเชื้อแบคทีเรียเหล่านั้นจะถูกดักจับไว้ที่ต่อมทอนซิล เมื่อเชื้อแบคทีเรียมีปริมาณมากเกินกว่าการรับมือของต่อมทอนซิล ก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้
ใครมีโอกาสเป็นทอนซิลอักเสบบ้าง?
ต่อมทอนซิลอักเสบไม่มีกลุ่มที่เฉพาะเจาะจง แต่มักพบมากในเด็กช่วงอายุน้อยกว่า 15 ปี เนื่องจากเมื่ออายุ 10 ขวบขึ้นไปต่อมทอนซิลจะลดการทำงานลง
ลักษณะอาการต่อมทอนซิลโตและอักเสบ
- มีอาการเจ็บคอ
- ต่อมทอนซิลบวมแดง กลืนแล้วเจ็บ
- มีหนองที่ต่อมทอนซิล
- มีไข้สูง
- กลืนอาหารลำบาก
- มีกลิ่นปาก
- ปวดร้าวไปที่หู
- ในเด็กเล็กที่ยังพูดไม่ได้อาจมีอาการน้ำลายไหล และอาเจียนหลังรับประทานอาหาร หายใจเสียงดังหรือนอนกรน รวมทั้งอาจมีการอักเสบของกล่องเสียงและหลอดลมร่วมด้วย หากต่อมทอนซิลโตเรื้อรังหลังจากหายติดเชื้อแล้ว อาการเหล่านี้อาจหายไป แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนเข้ามาแทนที่ เช่น ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดอาการนอนกรน หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้
วิธีการรักษา
1. รักษาตามอาการ
- หากเกิดจากไวรัสจะทำการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาพ่น หรือยาอมแก้เจ็บคอ
- หากเกิดจากแบคทีเรีย ต้องเพิ่มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นในช่วงประมาณ 7-10 วัน
2. รักษาโดยการผ่าตัด
- การรักษาด้วยการผ่าตัด เนื่องจากเกิดจากภาวะแทรกซ้อนมีภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยให้อาการต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังหายเป็นปกติได้ ในการผ่าตัดแพทย์จะทำการใส่เครื่องมือเข้าไปในช่องปากบริเวณต่อมทอนซิล การผ่าตัดลักษณะนี้ ผู้ป่วยจะไม่มีบาดแผลใดที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดทอนซิล
- ผู้ป่วยที่มีภาวะทอนซิลอักเสบเรื้อรัง มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง หรือหนองที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้วไม่ดีขึ้น หรือต่อมทอนซิลกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียเรื้อรัง
- ต่อมทอนซิลที่เกิดการอักเสบซ้ำๆ จนส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิต เช่น มีไข้ เจ็บคอ ไม่สบายจนต้องหยุดงาน หยุดเรียนบ่อยๆ
- เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการอักเสบ เช่น ภาวะหนองรอบทอนซิล หรือหนองบริเวณลำคอ ภายหลังภาวะแทรกซ้อนอาการดีขึ้น ผู้ป่วยควรตัดต่อมทอนซิลออกเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงซ้ำ
- ทอนซิลโตจนเบียดทางเดินหายใจทำให้หายใจลำบากนอนกรนหรือเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลหรือเนื้องอกชนิดอื่นๆ ที่ต่อมทอนซิล
การผ่าตัดต่อมทอนซิลต้องเตรียมตัวอย่างไร
เนื่องจากต้องใช้ยาสลบในการผ่าตัด ผู้ป่วยจึงต้องเข้ามาเจาะเลือดเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจค่าตับ ค่าไต เอ็กซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และต้องงดน้ำงดอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงเพื่อป้องกันการสำลักเอาเศษอาหารเข้าปอด
การดูแลหลังผ่าตัดต่อมทอนซิล
ช่วง 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้
- รับประทานอาหารอ่อน รสไม่จัด
- เลี่ยงอาหารที่มีความแข็งที่จะกระทบกับบาดแผลในลำคอ
- งดการไอแรงๆ การขากเสมหะ
- หลังจากรับประทานอาหารทุกครั้ง ให้กลั้วคอเบาๆด้วยน้ำยาบ้วนปากหรือน้ำเกลือ
- แปรงฟันเบาๆ งดแปรงเข้าไปในช่องปากลึกเกินไป
- ทานยาฆ่าเชื้อให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
- งดการออกกำลังกายหนักๆ ที่จะเสี่ยงให้เกิดเลือดออกจากแผลผ่าตัด
- หากพบเลือดออกจากแผลผ่าตัดปริมาณมาก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพบาดแผลผ่าตัด
เมื่อทราบกันแล้วว่าต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเรียนรู้และรับมือจึงเป็นแนวทางการลดความเสี่ยง รวมถึงเป็นแนวทางการป้องกันที่ดี และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นประโยชน์ในการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการป่วยได้อีกด้วย