ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว หลายครอบครัวมักพบปัญหาว่า ลูกมีไข้สูง, ลูกไอไม่หยุด, หรือ ลูกซึมและไม่ยอมกินข้าว จนสงสัยว่านี่คือ ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก หรือไม่

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หรือที่หลายคนค้นหาในชื่อ Influenza A เป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก พบได้บ่อยในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก และพื้นที่ที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ไวรัสชนิดนี้มักทำให้เด็กมีไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลีย ไอ และเจ็บคอ ซึ่งอาการจะรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ A สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม และการสัมผัสสิ่งของร่วมกัน เช่น ของเล่น แก้วน้ำ มือจับประตู และสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หากดูแลไม่ถูกต้อง
แม้อาการของไข้หวัดใหญ่จะคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่โดยมากรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นทันที เด็กที่ติดเชื้ออาจมีอาการดังนี้
• ไข้สูง 38–40°C เป็นอาการแรกที่พ่อแม่สังเกตเห็นได้ง่ายโดยเฉพาะเมื่อไข้สูงมากกว่า 39°C และไม่ลดลงแม้ใช้ยาลดไข้
• ไอแห้ง เจ็บคอ เด็กอาจไอมากตอนกลางคืนจนทำให้นอนไม่หลับ บางรายมีเสมหะร่วมด้วย
• ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว มีอาการล้า เหนื่อยง่าย อยากนอนมากกว่าปกติ
• เบื่ออาหารและอาเจียน พบบ่อยในเด็กเล็ก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่าย
• อ่อนเพลีย ซึม เป็นสัญญาณที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม
• เด็กหายใจเร็ว หายใจแรง เป็นอาการที่เสี่ยงต่อการเกิด ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่เด็ก
หากลูกมีหลายอาการร่วมกัน โดยเฉพาะไข้สูงต่อเนื่องเกิน 48 ชั่วโมง ควรรีบนำไปพบแพทย์เพื่อยืนยันว่าคือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หรือโรคอื่น เช่น RSV, COVID-19 หรือหลอดลมอักเสบ
1. พาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง
แพทย์จะทำการตรวจอาการ ฟังปอด และอาจตรวจเชื้อด้วยวิธี Swab ซึ่งช่วยแยกความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A, ไข้หวัดธรรมดา และไวรัสชนิดอื่น ห้ามซื้อยาต้านไวรัสให้ลูกกินเอง เพราะต้องใช้ตามคำแนะนำแพทย์เท่านั้น
2. ให้ลูกพักผ่อนเพียงพอ ร่างกายจะฟื้นตัวได้ดีเมื่อเด็กนอนเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงไข้สูง เด็กควรนอนในห้องเย็นสบาย อากาศถ่ายเท
• ไม่ควรให้เล่นมือถือหรือดูการ์ตูนนานเกินไป เพราะทำให้พักผ่อนไม่เต็มที่
• นอนหลับช่วงกลางวันเพื่อฟื้นตัวเร็วขึ้น
3. ให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เด็กที่มีไข้สูงจะสูญเสียน้ำมาก ควรให้
• น้ำอุ่น
• น้ำผลไม้ไม่หวาน
• ORS (เกลือแร่สำหรับเด็ก)
สัญญาณขาดน้ำ: ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
4. เช็ดตัวลดไข้ และใช้ยาลดไข้ตามแพทย์สั่ง วิธีเช็ดตัวที่ถูกต้อง
• ใช้น้ำอุ่น ไม่ใช่น้ำเย็น
• เช็ดบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ
• วัดอุณหภูมิทุก 4 ชั่วโมง
หากลูกมีไข้สูงมากกว่า 39°C ต่อเนื่องควรพาไปพบแพทย์ทันที
5. แยกลูกออกจากสมาชิกในบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
• ให้ลูกพักในห้องแยก
• ล้างมือบ่อย ๆ
• ทำความสะอาดของเล่นและผ้าห่ม
• ผู้ดูแลควรสวมหน้ากากอนามัย
6. อาหารที่ควรให้เด็กป่วยไข้หวัดใหญ่กิน อาหารที่เหมาะสำหรับเด็กป่วย
• ข้าวต้มอุ่น ๆ
• ซุปไก่
• ผักผลไม้ที่ย่อยง่าย เช่น กล้วย แอปเปิล
• น้ำเต้าหู้
• อาหารอ่อนที่กลืนง่าย
หลีกเลี่ยง
• อาหารทอดมัน
• น้ำอัดลม
• ของหวานมากเกินไป
• นมเย็น (บางรายทำให้เสมหะเยอะขึ้น)
ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการเหล่านี้
• หายใจเร็ว หอบ หน้าอกบุ๋ม
• ซึม ไม่ดื่มน้ำ ไม่กินข้าว
• ไข้สูงเกิน 40°C
• ไข้ไม่ลดเกิน 3 วัน
• เด็กร้องกวนผิดปกติ
• มีอาการชัก
• ริมฝีปากคล้ำ หรือปลายมือเท้าเขียว
เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ควรระวังเป็นพิเศษ
โดยส่วนใหญ่เด็กจะหายได้เองภายใน 5–7 วัน แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
• ปอดอักเสบ
• หูชั้นกลางอักเสบ
• หอบหืดกำเริบ
• ชักจากไข้สูง
• ขาดน้ำรุนแรง
ดังนั้นการพาลูกไปพบแพทย์และดูแลให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก
1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี วัคซีนช่วยลดโอกาสป่วยและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมาก โดยเฉพาะเด็กเล็กควรฉีดทุกปี
2. ล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อจากของเล่น โต๊ะเรียน หรือสิ่งของสาธารณะ
3. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในช่วงการระบาด โรงเรียน ห้าง หรือสนามเด็กเล่นที่มีผู้ป่วยจำนวนมากเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่พบบ่อย
4. เสริมภูมิคุ้มกันลูกด้วยอาหารดีต่อสุขภาพ อาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
• ผักผลไม้
• โปรตีนจากไข่ เนื้อสัตว์ไม่มัน
• โยเกิร์ต
• น้ำอุ่นมาก ๆ
• การนอนพักผ่อนเพียงพอ
เมื่อลูกติด ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A พ่อแม่ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด พาไปพบแพทย์เพื่อประเมินการรักษา ดูแลให้พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ และแยกเด็กออกจากสมาชิกในบ้านเพื่อลดการแพร่เชื้อ การฉีดวัคซีนและดูแลสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดโอกาสป่วยได้ดีมากในระยะยาว หากลูกมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว ซึม ไข้ไม่ลด ควรรีบไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อความปลอดภัย