อีกหนึ่งโรคติดต่อยอดฮิตในเด็กเล็กคงหนีไม่พ้นกับ “โรคอีสุกอีใส” โรคที่จะมีตุ่มมากมายผุดขึ้นทั่วร่างกายกับใบหน้า และน้ำใสจากตุ่มเหล่านั้นก็สามารถติดต่อไปยังคนอื่นได้ โดยทั่วไปจะพบมากในกลุ่มเด็กเล็กและวัยเรียน โรคอีสุกอีใสยังสามารถทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่รุนแรงนอกเหนือจากเรื่องผิวหนังได้ด้วย เช่น ภาวะปอดอักเสบ และสมองอักเสบในทารกแรกเกิด วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกน้อยของตัวเองต้องเผชิญกับโรคนี้ แบบนี้คงต้องให้ “วัคซีนอีสุกอีใส” เป็นตัวช่วยแล้ว แต่จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง ต้องฉีดตอนไหนถึงจะมีประสิทธิภาพ ไปหาคำตอบกันค่ะ
มารู้จักโรคอีสุกอีใสกันก่อน
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หรืออาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มหรือแผลสุกใส หรือสัมผัสของใช้ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่มที่เปื้อนตุ่มแผลของผู้ป่วย โดยหลังจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายอาการจะแสดงภายใน 10-21 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีตุ่มขึ้นทั่วไปตามลำตัว ใบหน้าและลามไปแขนขา ในระยะแรกจะขึ้นเป็นตุ่มแดงและคัน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มใส อาจพบตุ่มขึ้นในช่องปากและเยื่อบุต่างๆ ได้ และเปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง จากนั้นจะตกสะเก็ดและค่อยๆ หลุดหายไปในเวลา 5-20 วัน กลายเป็นจุดด่างดำ หรือรอยแผลเป็นได้
การรักษาโรคอีสุกอีใส
โรคนี้ส่วนใหญ่อาการไม่ร้ายแรงและหายเองได้ ด้านการรักษานั้นจะรักษาตามอาการ ดังนี้
ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นอีสุกอีใส ป้องกันได้อย่างไร
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสโรค หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine/Chickenpox Vaccine) ที่ใช้ในปัจจุบันทำงานเชื้อมีชีวิต นำมาทำให้อ่อนฤทธิ์เพื่อเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและป้องกันการเกิดโรคอีสุกอีใส ทั้งนี้ในประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมีทั้งรูปแบบวัคซีนเดี่ยว (VZV) และวัคซีนรวม (MMRV) ซึ่งเป็นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน และโรคอีสุกอีใสในเข็มเดียวกัน
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ตอนไหนดีนะ
วัคซีนอีสุกอีใสให้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ในผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ฉีดเข้าใต้ผิวหนังจำนวน 2 เข็ม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน
ผลข้างเคียงแบบทั่วไปหรือเล็กน้อย : หลังจากการฉีดวัคซีนจะมีอาการปวดแขน มีอาการปวด บวมแดง คัน หรือช้ำบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ต่ำ หรือเกิดผื่นขึ้นเล็กน้อย หากมีอาการเหล่านี้โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับวัคซีน และ จะมีโอกาสเกิดน้อยลงเมื่อได้รับวัคซีนครั้งที่สอง
ผลข้างเคียงแบบรุนแรง : บางรายอาจเกิดอาการแพ้รุนแรง ชัก เกร็ดเลือดต่ำ สมองอักเสบ ผื่นทั่วตัว หรือปวดอักเสบ แต่พบได้น้อยมาก
ทั้งนี้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้มีผื่นอีสุกอีใสเกิดขึ้นได้ประมาณ 94-98% แต่ถึงแม้ได้รับวัคซีนแล้ว บางรายอาจเกิดผื่นอีสุกอีใสขึ้นได้ หลังจากไปสัมผัสโรค แต่พบว่าอาการของโรคในกรณีเช่นนี้จะเป็นไม่มาก เช่น มีผื่นขึ้นเพียงไม่กี่จุด (น้อยกว่า 50 จุด) ไม่ค่อยมีไข้ และไม่ค่อยเกิดแผลเป็น ทำให้หายป่วยได้เร็วกว่า นอกจากนี้เด็กที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เมื่อมีอายุมากขึ้นจะพบอุบัติการณ์ และความรุนแรงของการป่วยเป็นโรคงูสวัดน้อยกว่าเด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสตามธรรมชาติ